5 ขั้นตอนเริ่มต้นกองทุนสุขภาพฉบับมนุษย์เงินเดือน
personal-health-fund-planning

เพราะสุขภาพไม่รอเงินเดือนออก! มารู้วิธีวางแผน “กองทุนสุขภาพส่วนตัว” ที่ทำได้จริงตั้งแต่เดือนนี้ เพื่ออนาคตสุขภาพที่มั่นคง
“สุขภาพดี...ก็เหมือนการลงทุน ต้องวางแผนไว้ก่อน”
หลายคนตั้งใจเก็บเงิน แต่พอถึงเวลาป่วยจริงกลับหมดกับค่ารักษาในพริบตาไม่ใช่เพราะใช้จ่ายเกินตัว — แต่เพราะ “ไม่มีเงินสำรองสุขภาพ” ที่พร้อมใช้เมื่อจำเป็น
กองทุนสุขภาพส่วนตัวจึงไม่ใช่เรื่องของคนป่วย แต่คือ “เครื่องมือของคนที่อยากอยู่ดี มีแรงดูแลตัวเองในระยะยาว”
วันนี้ HealthClusive จะพาคุณมาดู 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการเริ่มสร้างกองทุนสุขภาพฉบับมนุษย์เงินเดือนไม่ต้องมีรายได้สูงก็ทำได้ — ขอแค่เริ่มวันนี้
💡 ขั้นตอนที่ 1: สำรวจค่าใช้จ่ายสุขภาพของตัวเองก่อน
“จะออมได้ ต้องรู้ก่อนว่าใช้เท่าไหร่”
ลองเปิดบัญชีรายจ่ายย้อนหลัง 3 เดือน แล้วรวมทุกค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เช่น
ค่ายา / ค่าหมอ / ฟัน
ค่าวัคซีนประจำปี
คอร์สฟิตเนส หรืออาหารเสริม
เมื่อรวมแล้วคุณจะเห็นภาพว่า ค่าใช้จ่ายสุขภาพเฉลี่ยของตัวเองอยู่ที่เท่าไรต่อเดือน
💬 ตัวอย่าง:
ถ้าคุณใช้เดือนละ 2,000 บาท → ควรมีกองทุนสำรองอย่างน้อย 12,000 บาทต่อปี (6 เท่าของรายเดือน)
📘 Tip จาก HealthClusive:เขียนไว้ในแอปบันทึกรา ยรับรายจ่าย หรือใช้ Spreadsheetให้เห็นตัวเลขจริง เพื่อใช้วางแผนได้แม่นขึ้น
💰 ขั้นตอนที่ 2: กำหนด “เป้าหมายกองทุนสุขภาพ”
“ไม่มีเป้าหมาย ก็เหมือนขับรถโดยไม่รู้จะไปไหน”
ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า
คุณอยากให้กองทุนนี้ใช้เพื่ออะไร?
ตรวจสุขภาพประจำปี
เผื่อค่ารักษาฉุกเฉิน
หรือดูแลคนในครอบครัว
เมื่อมีเป้าหมายชัด จะรู้ว่า “ต้องเก็บเท่าไร” และ “ใช้เมื่อไร”
💡 แนวทางตั้งเป้าหมายง่าย ๆ:
ระยะเวลา | วัตถุประสงค์ | เป้าหมายเงินออม |
ระยะสั้น (1 ปี) | ตรวจสุขภาพ/วัคซีน | 10,000–20,000 บาท |
ระยะกลาง (3 ปี) | กองทุนรักษาฉุกเฉิน | 30,000–50,000 บาท |
ระยะยาว (5 ปี+) | รองรับวัยเกษียณ / ดูแลพ่อแม่ | 100,000 บาทขึ้นไป |
🧮 ขั้นตอนที่ 3: ตั้งสัดส่วนเงินออมสุขภาพประจำเดือน
“เก็บเล็กทุกเดือน ดีกว่ารอเก็บก้อนใหญ่ตอนป่วย”
โดยทั่วไป แนะนำให้เก็บประมาณ 10–15% ของรายได้ต่อเดือนเช่น
รายได้ 25,000 บาท → เก็บเดือนละ 2,500 บาท
รายได้ 40,000 บาท → เก็บเดือนละ 4,000–6,000 บาท
📘 เทคนิคเล็ก ๆ ที่ได้ผลจริง:
ตั้งระบบโอนอัตโนมัติไปบัญชีกองทุนสุขภาพทุกต้นเดือน
แยกบัญชีนี้ออกจากบัญชีหลัก
ห้ามถอนเว้นแต่ใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น
💬 “ถ้าคุณออมก่อนใช้สักเล็กน้อยในแต่ละเดือน ค ุณจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นทุกครั้งที่ฝนตก หรือป่วยกะทันหัน”
🏦 ขั้นตอนที่ 4: เลือกที่เก็บเงินให้เหมาะกับเป้าหมาย
ไม่จำเป็นต้องซ่อนเงินไว้ในบัญชีเดียวเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะกับพฤติกรรมของคุณ เช่น 👇
ประเภทบัญชี | เหมาะกับ | ข้อดี |
บัญชีออมทรัพย์แยกเฉพาะ | มือใหม่เริ่มต้น | สะดวก ถอนง่าย ไม่มีความเสี่ยง |
กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) | คนที่อยากให้เงินงอกบ้าง | ความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง |
ประกันสุขภาพ/ออมทรัพย์ | คนมีภาระครอบครัว | ช่วยลดภาษีและมีความคุ้มครอง |
สลากออมทรัพย์ | คนชอบลุ้นแต่ปลอดภัย | มีสิทธิ์ลุ้นรางวัล + ไม่ขาดทุนเงินต้น |
📍 “ไม่ต้องเลือกเครื่องมือดีที่สุด แค่เลือกสิ่งที่คุณใช้ได้ต่อเนื่องที่สุด”
🧘♀️ ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสุขภาพกองทุน...ปีละครั้ง
“กองทุนสุขภาพก็เหมือนร่างกาย ต้องเช็กสม่ำเสมอ”
ทุกสิ้นปี ให้ลองทบทวนว่า
ใช้เงินไปกับอะไรบ้างในหมวดสุขภาพ
เงินเก็บพอไหมต่อเป้าหมาย
ต้องปรับเพิ่มสัดส่วนออมหรือไม่
💬 ตัวอย่างเช็กง่าย ๆ
ปีนี้ใช้รักษาโรค Office Syndrome ไป 8,000 บาท → ปีหน้าต้องเผื่อเพิ่มอีก 20%
ปีนี้ไม่ได้ตรวจสุขภาพเลย → ใช้กองทุนที่เก็บไว้จ่ายตรวจปีหน้าแทน
📘 Pro Tip: ถ้ามีเงินเหลือจากกองทุนสุขภาพในปีนั้นอย่าย้ายไปใช้ส่วนอื่น — ให้ต่อยอดเป็น “กองทุนสุขภาพอนาคต”หรือเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนรวมสุขภาพ (SSF) เพื่อสิทธิ์ลดภาษี
“การมีเงินไม่ใช่ความมั่งคั่งที่สุด แต่การมีสุขภาพดีโดยไม่ต้องกลัวค่าใช้จ่ายต่างหากคือความมั่นคงที่แท้จริง”
เริ่มกองทุนสุขภาพตอนนี้ ไม่ต้องรอให้ป่วยหรือรายได้เพิ่มเพราะสิ่งที่คุณทำวันนี้ คือการดูแล “ตัวคุณในอีก 10 ปีข้างหน้า”








