ประกันสุขภาพแบบไหนคุ้มจริง? 5 เกณฑ์เลือกฉบับเข้าใจง่าย
choose-health-insurance

ไม่ต้องซื้อแพงก็ได้คุ้ม! HealthClusive สรุปวิธีเลือกประกันสุขภาพให้เหมาะกับชีวิตคุณ
“ประกันสุขภาพที่ดี...ไม่ใช่แค่ช่วยตอนป่วย แต่ช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ”
หลายคนรู้ว่าควรมีประกันสุขภาพ แต่พอจะซื้อกลับสับสน — แบบไหนดี? ต้องจ่ายเท่าไร? หรือสุดท้าย “คุ้มจริงไหม?”ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นทุกปี การเลือกประกันที่ “ตรงกับชีวิต” สำคัญกว่าการเลือกแผนที่ “แพงที่สุด”
บทความนี้ HealthClusive จะช่วยให้คุณเข้าใจง่าย ๆ ว่า
“ประกันสุขภาพที่คุ้ม...ไม่จำเป็นต้องดีที่สุดในตลาด แต่ต้องเหมาะกับคุณที่สุด”
🧠 ทำไมประกันสุขภาพถึงสำคัญ
1️⃣ ค่ารักษาแพงกว่าที่คิด
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (2024) พบว่าค่ารักษาผู้ป่วยในเฉลี่ย “ครั้งละ 35,000–70,000 บาท”
โรคเรื้อรังอย่างเบาหวานหรือความดันอาจใช้จ่ายเกิน “200,000 บาท/ปี”
2️⃣ ช่วยป้องกันการใช้เงินฉุกเฉิน
แทนที่จะต้องควักเงินเก็บ กองทุน หรือกู้หนี้ในเวลาป่วย ประกันช่วยแบ่งภาระนี้แทน
3️⃣ ให้สิทธิ์เลือกการรักษาที่ดีกว่า
โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งใช้ระบบเคลมตรง ทำให้ไม่ต้องสำรองเงินก้อน
5 เกณฑ์เลือก “ประกันสุขภาพที่คุ้มจริง”
1️⃣ เข้าใจ ความคุ้มครองหลัก (Coverage)
ก่อนซื้อ ให้ดูว่าแผนครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น
ค่าห้อง / อาหาร / ยา
ค่าหมอผ่าตัด / วิสัญญีแพทย์
ค่าตรวจ MRI / CT Scan
ค่ารักษาผู้ป่วยนอก (OPD)
การคลอดบุตร / การรักษามะเร็ง / ฟอกไต
💬 Tip:
เลือกแผนที่ครอบคลุม “โรคที่คุณเสี่ยง” มากกว่าแผนที่มีทุกอย่างแต่เกินความจำเป็น
2️⃣ ดู “วงเงินต่อครั้ง” ไม่ใช่แค่ “วงเงินรวมปี”
หลายคนเห็นวงเงินรวมปีละ 1 ล้านบาทแล้วคิดว่าพอแต่ความจริง ถ้าโรงพยาบาลคิดค่ารักษา 200,000 บาทต่อครั้งและประกันจ่ายต่อครั้งแค่ 50,000 บาท — คุณยังต้องควักส่วนต่างเอง
📊 ตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ:
รายการ | แผน A | แผน B |
วงเงินต่อครั้ง | 50,000 บาท | 200,000 บาท |
วงเงินรวมต่อปี | 1,000,000 บาท | 400,000 บาท |
ค่ารักษาผ่าตัดจริง | 180,000 บาท | 180,000 บาท |
จ่ายเอง | ❌ 130,000 บาท | ✅ 0 บาท |
💡 “แผนที่ดูเหมือนวงเงินสูง อาจไม่คุ้ม ถ้าต่อครั้งต่ำเกินไป”
3️⃣ พิจารณา “ระยะรอคอย” และ “ข้อยกเว้นโรค”
ทุกกรมธรรม์จะมี ช่วงรอคอย (Waiting Period) ก่อนเริ่มคุ้มครอง เช่น
โรคทั่วไป: 30 วัน
โรคร้ายแรง: 120 วัน
การคลอดบุตร: 280 วัน
นอกจากนี้ ให้ดู “โรคยกเว้น” เช่น มะเร็งที่เป็นมาก่อนซื้อ หรือโรคทางพันธุกรรมบางชนิด
📍 อย่าลืมถามตัวแทนให้ชัด เพราะ “รู้ก่อน” ดีกว่า “รู้หลังป่วย”
4️⃣ เปรียบเทียบค่าเบี้ยประกันกับรายได้
กฎง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริงคือ
เบี้ยประกันสุขภาพไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี
📘 ตัวอย่าง:
รายได้ปีละ 360,000 บาท → เบี้ยไม่ควรเกิน 36,000 บาท/ปี
รายได้ปีละ 600,000 บาท → เบี้ยไม่ควรเกิน 60,000 บาท/ปี
💬 “อย่าเลือกแพงเกินจำเป็น เพราะสิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องในการถือกรมธรรม์”
5️⃣ ตรวจดูสิทธิ์ อื่น ๆ ที่คุณมีอยู่แล้ว
ก่อนซื้อใหม่ ลองเช็กก่อนว่า
ที่ทำงานมี ประกันกลุ่ม (Group Insurance) หรือไม่
คุณมีสิทธิ์ บัตรทอง / ประกันสังคม / ข้าราชการ
มีประกันชีวิตที่แนบคุ้มครองสุขภาพอยู่แล้วหรือเปล่า
เพราะบางครั้งเราซ้ำซ้ อนโดยไม่รู้ตัว
🧾 ตัวอย่างจริง:ลูกค้าหลายคนจ่ายประกันเอกชนเอง 2 ฉบับ ทั้งที่บริษัทมีสวัสดิการครอบคลุม 80% อยู่แล้ว
“คุ้มจริง” คือคุ้มกับชีวิตเรา
“ประกันสุขภาพที่ดีที่สุด คือแผนที่ทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายใจ”
ไม่จำเป็นต้องซื้อแพงที่สุด แค่เลือกให้ตรงกับความเสี่ยงของตัวเองและรักษาไว้ต่อเนื่องทุกปี — เพราะสุขภาพคือการลงทุนระยะยาว
📊 ตัวอย่าง “แพ็กเกจสุขภาพที่เหมาะกับกลุ่มต่าง ๆ”
กลุ่มผู้ซื้อ | ความต้องการหลัก | แนะ นำแผน |
วัยทำงาน (25–40 ปี) | โรคทั่วไป, อุบัติเหตุ, ตรวจสุขภาพ | ประกันสุขภาพพื้นฐาน + IPD/OPD |
ผู้หญิงวัยทำงาน | มะเร็งเต้านม, มดลูก, การคลอด | แผนเฉพาะโรค + คุ้มครองคลอด |
ครอบครัวมีลูก | คุ้มครองลูก + พ่อแม่ | แผนครอบครัวรวม / Group Plan |
ผู้สูงอายุ | โรคเรื้อรัง, ฟอกไต, หัวใจ | แผน Senior Care / Medical Expense |
💡 เคล็ดลับเสริม (จาก HealthClusive)
ซื้อแผน ก่อนอายุ 35 ปี เบี้ยจะถูกกว่า 30–40%
ต่ออายุทุกปีต่อเนื่อง → ไม่ต้องตรวจสุขภาพใหม่
ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาทต่อปี
เช็กโรงพยาบาลในเครือเคลมตรงทุกครั้งก่อนเซ็น
“ไม่ต้องมีเงินเยอะ...ก็มีความคุ้มครองสุขภาพได้” เพราะการเตรียมพร้อมทางการเงินวันนี้ คือการลดความกลัวในวันที่ป่วย
5 ขั้นตอนเริ่มต้นกองทุนสุขภาพฉบับมนุษย์เงินเดือน
วางแผนการเงินสุขภาพอย่างชาญฉลาด เพื่ออนาคตที่มั่นคง
เริ่มศึกษาจากสิ่งที่คุณมี เช็กสิทธิ์ของตัวเอง และเพิ่มประกันเท่าที่จำเป็นเพราะเป้าหมายของประกันสุขภาพไม่ใช่แค่จ่ายค่ารักษา — แต่คือ การซื้อความอุ่นใจให้ชีวิต









